ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

โต้แย้งดูจิต

๑๑ ก.ค. ๒๕๕๒

 

โต้แย้งดูจิต
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรมวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถ้าคนภาวนาเป็นไอ้เรื่องดูจิต เพราะคำว่าจิตใช่ไหม คำว่าจิตมันมีอยู่แล้ว แล้วดูจิต เพราะหลวงปู่ดูลย์ท่านก็สอนดูจิต ทำไมหลวงปูดูลย์สอนถูกล่ะ หลวงปู่ดูลย์ท่านบอกดูจิต จิตส่งออกทั้งหมด

“ความคิดที่ส่งออกทั้งหมดเป็นสมุทัยให้ผลเป็นทุกข์ ต้องหยุดความคิด การหยุดความคิดก็ต้องใช้ความคิด”

นี่การหยุดความคิด ก็ต้องใช้ความคิด เพราะความคิดมันเป็นสมุทัย มันเป็นตัณหาความทะยานอยาก นี่ความคิดนะ นี้ความคิดปั๊บ ต้องดูจิต ถ้าดูจิตเพราะจิตมันไม่ใช่ความคิด! จิตไม่ใช่ความคิด! จิตเป็นจิต

ฉะนั้นเวลาเราคุยกับ ด็อกเตอร์มนตรีนั่นแหละ เขาบอกว่าตอนที่เขาเป็นฆราวาสเขาไปฝึกกับหลวงปู่ดูลย์แล้วเขาจะไปรายงานผลกับหลวงปู่ดูลย์ตลอดเวลา พอไปรายงานปั๊บ หลวงปู่ดูลย์บอกไม่ใช่ คือยังไม่เห็นจิต! ไม่เห็นจิต! ไม่เห็นจิต!

“ไอ้ดูจิตนี่ยากนะ ถ้าดูจิตให้เป็นตามความเป็นจริง แต่นี่มันดูจิตมันไม่ใช่ดูจิต มันดูความคิด เห็นความคิดของตัว ความคิดเกิดดับ มันไม่ใช่ดูจิตนะ”

ดูจิต คำว่าดูจิต เช่น มหายาน เขาทำจริงจังของเขาจนกว่าจิตมันจะสงบไป ดูจิตก็คือจิตมันนิ่งนั่นล่ะ จิตมันนิ่งก็คือสมาธินี่แหละ แล้วดูจิตที่มันยากเพราะอะไร นี้มันง่าย คำว่าเรียบง่ายๆ เรียบง่ายดูแล้วให้มันว่างไป ถ้าคนเป็นนะเขามาพูดเมื่อวาน เพราะเขาบอกว่าจิตดับ เราอธิบายให้เขาก่อนเลย เราอธิบายเขายาวมาก

เราอธิบายว่า จิตมันมาจากไหน ธรรมชาติของจิตมันเป็นอย่างไร แล้วจิตมันจะดับได้ไหม จิตมันดับไม่ได้ แต่ความคิดดับได้ ตัวจิตมันจะดับได้ยังไง แต่ความคิดดับ แต่ความคิดนี้เกิดดับ แต่ตัวจิตมันไม่ดับหรอก นี้ตัวจิตมันทรงตัวอยู่ไม่ได้ มันต้องมีความคิดตลอดเวลา

พอเวลาความคิดมันขาดปั๊บ เดี๋ยวมันก็ต้องคิดอีก ความคิดมันทำให้เราฟุ้งซ่านมาก แล้วความคิดเวลามันหยุด บางทีเราใจสบายๆ เราอยู่เฉยๆ มันไม่มีความคิด แต่จิตมันก็มีอยู่ แต่อันนั้นมันไม่ได้ประโยชน์เพราะอะไร เพราะจิตมันไม่ได้ดูมัน เพราะจิตมันส่งออกมา มันสบายๆ มันส่งออกไปข้างนอกไง

ถ้าเราจะให้เห็นจิต จิตในทางสมาธินี่ มันจะต้องมีสติเข้ามา สติเข้ามาจนถึงตัวจิต พอถึงตัวจิต ก็ เอ๊อะ เอ๊อะ นั่นแหละ ตอนนี้พูดถึงดูจิตมันกระจายไปกว้าง เพราะอะไร เพราะกำหนดพุทโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เวลาจิตมันสงบขึ้นมา มันไม่มีใครทำได้ง่าย แต่ถ้ามันใช้ปัญญา ใช้ความคิดไปอย่างนั้น มันจับต้องได้ มันถึงเป็นจุดขายไง

จุดขายมันเป็นเรื่อง เหมือนกับเรา ใครมาศึกษาธรรมะ พอศึกษาธรรมะแล้ว มันมีคุณธรรมในใจไง พอศึกษาธรรมะแล้วมันเหมือนกับเราเป็นคนดีไง อย่างเช่นเด็กดี คนดี มันมีความรับผิดชอบใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกันโดยธรรมดา เราก็อยู่ตามประสาเรา ประสาเรา เราคิดอย่างไรมันก็เรื่องของเรา แต่พอเรามีระเบียบมีกฎกติกาขึ้นมา เราจะควบคุมตัวเราให้ดีขึ้น พอไปศึกษาธรรมะ เห็นไหม ธรรมะคือศีลธรรม จริยธรรม เพราะฉะนั้นมันก็คิดแต่สิ่งที่ดีๆ พอคิดแต่สิ่งที่ดี พอจิตมันว่างๆ สบายๆ นี่ไงทุกคนบอกได้ผล

มันก็เหมือนกับคนโบราณเราล่ะ สมัยดึกดำบรรพ์ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย จะจูงลูกหลานไปวัด ไปเข้าวัดเด็กดีใช่ไหม พอเด็กทำดีเด็กดีใช่ไหม ไอ้นี่จิตดีขึ้นไง แต่ไอ้เรื่องดูจิตเห็นจิต เรายังไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ เรายืนยันว่าที่เขาทำกันมันผิด ผิดเพราะอะไร ผิด เพราะว่าดูจิตๆ ของเขา เขาเห็นจิตของเขาไหม

ถ้าเห็นจิตของเขา เขาจะไม่พูดอย่างนี้ เหมือนเรา เราจับขโมยได้ ของเราหายไปแล้วเราจับขโมยที่ขโมยของของเราได้ เราจะบอกของเราไม่หาย เราไม่ได้จับขโมยมันจะเป็นไปเอง มันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันจับเขาได้ นี่ไงพอมันจับจิตได้ พอมันจับจิตได้แล้วจิตออกวิปัสสนา มันจะรู้กระบวนการของมัน

กระบวนการของมัน มันเป็นเรื่องธรรมดาของจิต ธรรมชาติของจิตมันเป็นอย่างนั้นแล้วทุกคนจะมาถามว่า ทำไมเขารู้วาระจิตล่ะเขารู้สิ่งใดล่ะ ไอ้อย่างนี้นะแล้วบอกหมอดู หมอดูมันภาวนาอะไรของมัน มันทายเปี๊ยะ เปี๊ยะ เปี๊ยะเลย มันเป็นปฏิภาณของคน ปฏิภาณมันหลากหลายแตกต่างกันมา

ปฏิภาณของใครก็เป็นของของคนนั้น เขามีปฏิภาณของเขา ปฏิภาณของเขาหนึ่ง ตรรกะของเขามันมีอยู่ อย่างนั้นอาชีพของหมอดู เขาทำกันอย่างไร สิ่งที่ดูจิตๆ มันหลากหลายมันกว้างออกไป ในปัจจุบันนี้ อย่างครูบาอาจารย์เรา ไม่รับ เพราะการดูจิต โดยสัจจะความจริงแล้ว มันก็คือนามรูป คืออภิธรรมนี่แหละ

อภิธรรมกำหนด เราจะบอกอภิธรรมเห็นไหม เวลาเราดื่มเรากินแล้ว ทำไมถึงบอกดื่มหนอ กินหนอ รู้หนอ มันเป็นสองมา ดูจิตก็เหมือนกัน ความจริงก็คือการดื่มการกินนั่นแหละ ทำไมดื่มกินแล้วต้องกินหนออีก เพราะอะไร เพราะว่าจิตมันทำโดยธรรมชาติใช่ไหม แต่ธรรมชาติตัวมันทำไง ตัวมันทำใช่ไหม เราทำอะไรไป

เราทำไปหมดเลย เราไม่รู้เรื่องหรอก แต่คนดูอยู่มันรู้ใช่ไหม พอจิตมันทำ มันกินมันไม่รู้ว่ามันกินหรอก มันบอกกินหนอ คือดูอีกทีหนึ่ง เราถึงบอกว่ามันเป็นสัญญาอารมณ์ขึ้นมา ทีนี้คำว่าดูจิตกับนามรูปอันเดียวกันไหม ถ้าอันเดียวกัน พออันเดียวกันจะบอกว่าถ้าทำจริงๆ ด้วยความวิริยะอุตสาหะเข้าถึงสมาธิได้เหมือนกัน

ถ้าเข้าถึงสมาธิได้ เขาจะไม่พูดอย่างนี้เพราะ มีพวกนี้ไปหาหลวงตาเยอะมาก พอไปหาหลวงตา อธิบายให้หลวงตาฟังว่า เขาปฏิบัติแล้วเป็นอย่างนั้นๆๆ มันจะขัดแย้งกับทฤษฎีที่เขาทำกันอยู่ พอมันขัดแย้งปั๊บ เขาก็ถามอาจารย์ อาจารย์ก็บอกว่าเขาผิดไง แต่ความจริงเขาภาวนาถูก

หลวงตาถามว่า อาจารย์ของมึงคือใคร ทีแรกเขาไม่ยอมบอก หลวงตาบอกว่ามึงถูก คนปฏิบัติถูกแต่ทฤษฎีที่เขาสอนกันนี่ ผิด ตรงนี้ถ้าคนทำจริงนะ ดูจิต ทำจริงๆ ถ้ามีวิทยาศาสตร์จริงๆ มันจะเข้าถึงตัวจิตได้จริงๆ

มันก็ย้อนกลับมาที่พวกเรานี่แหละ มันก็ย้อนกลับมาที่ พุทโธ พุทโธ ยากไหม ยาก กว่าจิตจะลงแต่ละทีมันยาก แล้วดูจิตถ้าเข้าถึงสมาธิมันก็เหมือนกับพุทโธ เวลาเราทำสมาธิ กำหนดพุทโธก็เพื่อเข้าสมาธิใช่ไหม ดูจิตถ้าให้จิตนิ่งก็เพื่อสมาธิใช่ไหม

ในเมื่อเป้าหมายอันเดียวกัน เป้าหมายคือสมาธิเหมือนกันทำไมพุทโธมันยากล่ะ ทำไมดูจิตมันง่ายล่ะ มันก็อันเดียวกัน ทีนี้พอมันอันเดียวกันใช่ไหม แต่ของเราพุทโธ หรือปัญญาอบรมสมาธิ เราเข้าถึงเป้าหมายจริง พอเป้าหมายจริง พวกเราที่มาปฏิบัติอยู่นี่มันถึงทุกข์ๆ ยากๆ ที่ว่าโอดโอยกันอยู่นี่ เพราะมันเข้าได้ยากไง เพราะมันเป็นความจริงมันทำแล้วมันทำยาก

แต่ทำยากมันทำเพื่อความเป็นของจริง ทำจริงรู้จริง กับทำเล่นๆ รู้เล่นๆ เราจะเอาอะไรกัน เราไปดูกันมันเหมือนทำเล่นๆ ทำเล่นๆ แล้วทำไมมันสบายล่ะ อ้าว ก็ลูกหลานเราให้มันเรียนหนังสือ ให้มันทำงานทุกคนมันไม่เอา ให้มันเล่นสบายมันสบายไหม นี่ก็เหมือนกัน ดูจิต ดูเฉยๆ มันสบาย มันจะเป็นอะไรก็ได้ เพราะมันไม่มีขอบเขตว่าตรงไหนคือสมาธิ คือว่าง แล้วว่างของใครล่ะ

ไอ้ว่างของใครนี้มันพูดภาษาเรานะ ว่างของใคร หมายถึงว่าไม่มีใครสามารถจะชี้ขอบเขตมันได้ แต่ถ้าใครทำสมาธิเป็นนะชี้ได้ พอคนเคยเป็นสมาธิ คนได้สมาธิพอมันไปดูจิตมันเลย เพราะรสชาติมันต่างกัน เราเปรียบเหมือนน้ำเย็นกับน้ำร้อน น้ำอุณหภูมิมันต่างกัน จิตก็เหมือนกัน จิตปกติน้ำเย็น ถ้าอุณหภูมิมันร้อน มันเป็นสมาธิขึ้นมามันต่างกัน

แล้วทำไมเขาไม่รู้จัก คนถ้ารู้จักน้ำร้อนน้ำเย็น น้ำร้อนก็มีน้ำเย็นก็มีใช่ไหม นี่มันปฏิเสธน้ำร้อนไม่มี มีแต่น้ำเย็นว่างๆ บอกอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเป็นสมาธิมันจะบอกอารมณ์ปกติได้ อารมณ์ปกติก็คือก่อนที่เราจะทำสมาธิ พอเราทำสมาธิเข้าไปแล้ว จิตเราเป็นสมาธิ ระหว่างจิตที่เป็นปุถุชนกับจิตที่เป็นสมาธิมันต่างกันยังไง

ตรงนี้ไงตรงนี้เขาก็พูดไม่ถูก ตรงนี้ก็พูดไม่ได้ ใครมาก็ ว่างๆ ว่างๆ ดูจิตว่างๆ ที่เราไม่เห็นด้วยมันเหมือนกับครูบาอาจารย์ของเรา หรือพระพุทธเจ้าสอนให้พวกเราหมั่นเพียร ความเพียรชอบ งานชอบ วิริยะชอบ อุตสาหะชอบ ให้พวกเราขยันหมั่นเพียร แต่พวกนี้มาพูดอีกอย่างหนึ่ง

ปล่อยมันตามสบาย ไม่ต้องทำอะไรเลย นี่ไงที่เราค้านเราค้านตรงนี้ คนเราหมั่นเพียรวิริยะอุตสาหะขนาดนี้ มันยังจับต้นชนปลายกันไม่ได้เลย แล้วไปทำกันอยู่อย่างนั้นมันจะได้อะไร มันได้สบายไง ทุกคนจะบอกว่าสบาย แหม เมื่อก่อนเป็นคนโกรธมากเลย เดี๋ยวนี้ไม่มีโกรธเลย หายโกรธเลย ลองแหย่มันสิ ออกทันที

เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าเป้าหมายของพุทธศาสนาคือ ละความโลภ ความโกรธ ความหลง เป้าหมายของศาสนา ละความโลภ ความโกรธ ความหลง ทีนี้เราจะไปประพฤติปฏิบัติใช่ไหม เราเป็นคนดีใช่ไหม เราก็ต้องไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เราก็รักษามันก็ได้

แต่เมื่อก่อนไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อก่อนไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้ทำอะไรเลย มันก็ปล่อยตามอารมณ์ใช่ไหม มันปล่อยตามอารมณ์ ปล่อยตามสบายของมัน แต่นี้มันมีคนรักษามัน แต่ไม่ใช่ไปแก้ไขมัน รักษาไม่ใช่แก้ไข ยังไม่ได้แก้ไขมัน รักษามันเฉยๆ

พอรักษามัน มันก็อยู่ในกรอบในกติกา พวกนี้กิเลสมันยังไม่ตีกลับนะ ลองกิเลสตีกลับมันจะมากกว่านั้นอีก ทีนี้ว่าดูจิตมันกว้างขวางเราจะบอกเลย ดูจิตที่กว้างขวางมันอธิบายไม่ได้ แล้วดูจิตต่างคนต่างละดูจิต

หลวงตายังพูดเลย ถ้าจริงๆ แล้ว ท่านก็ดูจิตนั่นแหละ เราก็เคยดูจิต คำว่าดูจิตทุกคนปฏิบัติใหม่ มันจับพลัดจับผลู มันก็ต้องลองผิดลองถูกทั้งนั้น ไม่มีใครทำทีเดียวแล้วก็ถูกหรอก หลวงตาท่านบอกว่า เมื่อก่อน กำหนดไว้เฉยๆ ที่ตัวจิต ดูจิตนี่แหละ จิตเราเสื่อมไปปีกับหกเดือน

อกแทบระเบิดกำหนดได้ตั้งสติอย่างนี้ได้ขึ้นไปเรื่อย เป็นสมาธิได้ไหม ได้ แต่วันสองวันมันจะกลิ้งทับ เหมือนครกที่จะกลิ้งทับเราเลย เอ๊ ทำยังไงมันก็ไม่ได้ เพราะมันไม่มีจุดยืน มันไม่มีหลัก เป็นเพราะเหตุใด นี่ไอ้ตรงนี้มันเป็นปฏิภาณไหวพริบของแต่ละคนมันเป็นอำนาจวาสนาบารมีของแต่ละคน ที่มันจะปิ๊งขึ้นมา

หลวงตาคิด สงสัยเพราะเราจะขาดคำบริกรรม พอดีตอนนั้นหลวงปู่มั่นไปเผาศพหลวงปู่เสาร์ แล้วท่านให้หลวงตารออยู่ ท่านบอก ๓-๔ วัน ท่านกำหนดพุทโธๆ พุทโธๆ ทั้งวันเลย อกแทบระเบิด คำว่าอกแทบระเบิด การดูจิต เราปล่อยให้มันสะดวก สบาย เหมือนเด็กติดยาเสพติด เหมือนเด็กใจแตก

เด็กที่มันติดรูป รส กลิ่น เสียง ติดแสง สี เสียง เหมือนลูกหลานเรานะ มันเที่ยวกลางคืนทุกคืน แล้วบังคับไม่ให้มันไปเที่ยว มันจะคิดยังไง เด็กมันติดยา ถ้ามันไม่ได้เสพยามันลงแดงตายเลย พอมันปล่อยสบายๆ ไง มันก็ติดสิ พอกำหนดพุทโธ พุทโธ ไปฟังหลวงตาพูดทุกเที่ยวเลย อกแทบระเบิด พุทโธๆ วันแรกอกแทบระเบิดเลย

เหมือนเด็กติดยามันลงแดงไง บังคับไม่ให้เสพ อกแทบระเบิด วันที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ วันที่ ๓ ค่อยจิตค่อยอยู่ ค่อยๆ ดีขึ้น ย้อนกลับมาที่เรา ย้อนกลับมาดูจิต เอ็งปล่อยมันไปเรื่อยๆ ปล่อยไปเลย เอ็งว่าสบายไหม แล้วไม่โกรธใช่ไหม ไม่โกรธไม่อะไรเลย แล้วเอ็งกลับมาพุทโธสิ ตอนนี้ใครกลับมาพุทโธนะ แสนทุกข์แสนยาก เพราะอะไร เพราะเราปล่อยเราสบายหมดแล้ว

แต่ถ้าพูดถึงนะ อย่างของที่เราพูดปัญญาอบรมสมาธิ เราใช้คำว่าปัญญาอบรมสมาธิ เพราะมันไม่ปล่อยไง ถ้าดู มันปล่อยเฉยๆ ใช่ไหม เหมือนกันนี่ เอาเด็กมาฝากไว้ ให้เราดู เราก็นั่งดูเด็กมันจะตกจากร้านนี้ เด็กมันจะโดนรถชน อ้าว ก็ให้เราดูเราก็ดู โดนรถชนก็รถชน ก็เห็นรถชน

ทำไมที่เขาฝากเด็ก เขาให้ดูเด็กไม่อยากให้เด็กประสบอุบัติเหตุ ทำไมเด็กมันมีอุบัติเหตุทำไมไม่ดูแลมัน อ้าว ก็ดูแล้วไง ก็ดูเฉยๆ ไง เด็กถูกรถชนก็รู้ว่ารถชน แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ก็ดูเฉยๆ ไง แต่ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิเห็นไหม เขาฝากเด็กไว้ให้ดู ดูแลมัน ให้นมให้น้ำมัน นอนรึยัง มันจะทำอะไร เดี๋ยวทำอะไรไปมันจะประสบอุบัติเหตุ

นี่ไงปัญญามันไล่จิตไง เพราะเด็กเราดู เด็กเราดูเห็นไหม เด็กมันจะดีขึ้น เรียบร้อยขึ้นเพราะเราสอนมัน นี่ไงมันก็ใกล้เข้ามาๆ จนถึงตัวจิต เหมือนพุทโธเหมือนกัน ถ้าคนเป็นนะ มันรู้จักว่าความเป็นมันเป็นยังไง มันไม่เป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นนะพระพุทธเจ้าไม่บัญญัติไว้ ปริยัติ ปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติมันต้องแตกต่างจากปริยัติ แล้วนี่มันทำอะไร มันเพ่งเฉยๆ นี่มันมีอะไร

ถ้าเพ่งเฉยๆ แล้วมันเป็นความจริง ฤๅษีชีไพรเขาต้องได้แล้ว ฤๅษีชีไพรเขาเพ่งมาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว มันทำได้ เราจะบอกว่าที่เขาพูดกันมีเหตุมีผลไหม มันมีข้อเท็จจริงของมันอยู่ไง เราพยายามอธิบายว่าจิตมันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นเช่นนี้เอง แต่มันเป็นโดยกิเลส มันไม่เป็นไปโดยธรรม

ถ้าเป็นไปโดยธรรมมันจะเป็นโดยธรรมของพระพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา แต่นี่จิตมันเป็นเช่นนั้นเอง เพราะธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น แล้วเราว่าศึกษาธรรม เหมือนปริยัติ เราไปศึกษาธรรม เราเห็นหนังสือในตำราใช่ไหม เราอ่านหนังสือแล้วเข้าใจมันใช่ไหม นี่เราว่าเราจะปฏิบัติ เราก็เพ่งดูมัน มันก็เหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง

จิตนี่เหมือนกับหนังสือเล่มหนึ่งนะ เราก็ดูจิตของเราใช่ไหม มันก็เหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง มันก็อ่านตามข้อมูลนั้น แต่หนังสือนี่ หนังสือของกิเลสไง คืออ่านตามข้อมูลนั้น ข้อมูลคือว่าเราพอใจไม่พอใจใช่ไหม เราขัดข้องใจยังไง แต่ถ้าเป็นธรรมนะเราไม่มีอะไรเลยในหัวใจ เราไม่มีอะไรในหัวใจเลย แต่ที่เราศึกษานี่ธรรมของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าบอกต้องมีสติ สติเราก็ต้องฝึกขึ้นมา สติให้ฝึกขึ้นมา แล้วถ้าฝึกสติขึ้นมานะ ถ้าสติปุถุชน สติโดยปกติ สติเราก็ยับยั้งตัวความคิดของเราได้ แต่พอกิเลสมันละเอียดเข้าไปเห็นไหม ทำไมมีมหาสติล่ะ ทำไมมีมหาสติ ทำไมมีสติอัตโนมัติล่ะ แล้วปัญญาที่มันเกิดขึ้นมา ปัญญาอย่างนี้มันฆ่ากิเลสได้ไหม

เหมือนเงินเลย เงินบาทเขาใช้ในเมืองไทยนะเว้ย พอมึงไปอเมริกาเขาไม่ใช้เงินบาท เขาใช้ดอลลาร์ นี่เหมือนกันเราจะบอกว่าความคิดของเราในปุถุชน ปัญญาที่เราใช้กัน กับปัญญาที่เกิดจากธรรมมันคนละมิติกัน ปัญญาคนละปัญญาเลย

ฉะนั้นหลวงตาท่านก็พูดบ่อย ใครพูดออกมารู้เลยว่าอยู่ขั้นไหน มันไม่เคยเป็นมันจะพูดไม่ได้ อย่างเราใช้แต่เงินบาท อยู่ในเมืองไทย แล้วดอลลาร์เอามาทำไม ดอลลาร์มาให้ไปซื้อของเขาก็ไม่เอา แต่ถ้าไปอยู่อเมริกา ดอลลาร์นี่สุดยอดเลย

จิตที่มันลงลึกไประดับหนึ่ง ดอลลาร์สุดยอดเลย มันใช้เงินอีกประเภทหนึ่ง มันใช้ปัญญาอีกประเภทหนึ่ง มันใช้สติปัญญาอีกประเภทหนึ่งเลยนะ

อย่างนี้ถ้ามันดูจิตกันอยู่เฉยๆ มันไม่รู้จักตรงนี้ แล้วพูดตรงนี้ไม่เป็น แล้วพูดตรงนี้ไม่ได้ เราจะบอกเลยนะว่า สิ่งที่มันเป็นเรื่องดาษๆ มันเป็นเรื่องของการตลาด การตลาดคือว่ามนุษย์ทั่วไป ก็มีกายกับใจ ก็คือมีกายกับจิต ถ้าดูจิตก็แบบว่ามันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ขึ้นมาแล้ว

แล้วดูสิคนทั่วไปเวลาไปเข้าองค์ ทรงเจ้า เวลาไปไหว้ผีต่างๆ ไปอ้อนวอนขอ แค่เขาบ้วนน้ำลายใส่หัว พ่วง! ทีเดียว โฮ โล่งหมดเลยนะ สบายหมดเลย นี่ไงมันมีอยู่แล้วไง แล้วดูจิตมันก็เป็นอย่างนี้ไง

เวลาโยมพูดว่า เดี๋ยวนี้ดูจิตมันกว้างขวาง แล้วดูจิตมันกระจายไปมาก เราจะบอกว่าพระก็คือ องค์ ทรงเจ้าเข้าผีนั่นแหละ พระเราก็มีเท่านี้เอง ทำให้มันครบขั้นตอนเหมือนสะเดาะเคราะห์เลย มาถึงก็ มาทำไม มาสะเดาะเคราะห์กับกราบไหว้เสร็จแล้วก็กลับ

นี่ก็เหมือนกัน ดูจิตก็เหมือนกับสะเดาะเคราะห์พอดูเสร็จแล้ว ก็จบกระบวนการไง เออ สบาย ตรงนี้เป็นจุดขายนะ ใครก็ว่า สบายๆ มันสบายไม่ได้ หลวงตาเทศน์บ่อยนะ แต่คนอื่นฟังอาจจะผ่านหูไปเฉยๆ ท่านเทศน์ปกติเราจะฟัง ท่านบอกว่าเราต้องเข้มแข็งนะ ต้องจริงจังนะ จะมาทำสักแต่ว่าไม่ได้ คนเป็นจริงๆ ต้องทำอย่างนี้

อย่างที่มหายานที่เขาบอกว่า เรียกว่าลัดสั้นๆ ง่ายๆ เขาทำยิ่งกว่าเราอีก แต่มันเป็นคำพูดเฉยๆ คำพูดเพื่อไม่ให้ติดอยู่ที่ตรงไหนไง อย่างเช่น ธรรมะเห็นไหมเปรียบมนุษย์นั้นเป็น สวะ

ถ้าสวะมันไม่ไปติดกิ่งไม้ที่ไหน สวะมันจะลอยออกท้องทะเล ตามแหล่งน้ำออกไป จิตก็เหมือนกัน ถ้าเราทำของมันให้มันดี มันจะไปของมัน แต่นี้มันไปติด พอมันไปติดที่ไหน เอ็งจะแก้ยังไงล่ะ ถ้ามันไม่ติดจะทำยังไง มันไม่จริง มันไม่เป็นตามนั้นหรอก แต่มันฮือฮา ฮือฮา แบบว่ามันทำได้ไง

แล้วมาพุทโธ มาปัญญาอบรมสมาธิกว่าจะทำความสงบของใจได้ของแต่ละคน แต่มันทำได้นะ อย่างเช่นไอ้ที่ว่า ผมไปดูจิตมา ๓ ปี มานั่งพุทโธๆ ที่นี่พอจิตมันลง แล้วมันมาพูดกับเรา เราบอกเดี๋ยวให้คนออกไปแล้วเดี๋ยวเราจะอธิบายให้ฟัง

อธิบายให้ฟังเพราะอะไร เพราะถ้ามันดูจิต มันก็เหมือนกับธรรมชาติของจิตที่มีอยู่แล้ว คือว่างๆ สบายอยู่อย่างนี้ แต่พอเขากำหนดพุทโธๆ เขามาลองของเขาเอง แล้วจิตมันลง

จิตมันลง หมายถึงว่า จิตมันลงมันไม่ใช่ว่าเราบอกว่าลงหรือเขาบอกว่าลงนะ จิตมันลงเพราะว่าจิตของเขามันลง รสชาติของเขา เขาบอกเขาพูดเองนะ

“เสียใจมากที่เสียเวลาไป ๓ ปี ไปนั่งดูจิตอยู่”

แล้วพอพุทโธๆ จิตมันลง หมายถึงว่าความรู้สึกของมัน มันลึกซึ้งกว่าดูจิตมา ๓ ปี ๓ ปีไม่เคยได้รับสัมผัสความรู้สึกอย่างนี้เลย แล้วพอกำหนดพุทโธ จิตมันมีความรู้สึกว่าลึก แบบว่ามันลง จิตมันต่างกับที่ทำมาเยอะมาก

พอต่างปั๊บมันก็เห็นกายเลย พอเห็นกายปั๊บมันก็แทงหัวใจของมัน นั่งร้องไห้อยู่ที่กุฏิ นั่งร้องไห้ทั้งคืนเลย แล้วคืนที่ ๒ มาทำอีกก็ได้อีก

นี่ไงเขาดูจิตมา ๓ ปี ๓ ปีก็สบายๆ อยู่ ๓ ปีนี่ แล้วเขาพูดด้วย เขาพูดกับยาแต่เขาไม่กล้าพูดกับเรา บอกว่าเขาเสียดายเวลามาก เสียดายเวลาที่ทำไป ๓ ปี เพราะ ๓ ปี คำว่าสบายๆ นะมันทำทีแรก

อย่างเช่นเรา เราทุกข์ยากมา เรามีสิ่งใดรกในสมองมามาก แล้วเรามาเพ่งดูมันแล้วให้มันว่าง สบายมาก แล้วต่อไปมันจะสบายแค่ไหน ในเมื่อสมองมันว่างแล้ว มันก็จะไปได้รับรู้รสอันนี้ แล้วรสอันนี้กับที่มันสัมผัสมาแล้ว มันจะลึกซึ้งไปไหน มันก็ได้แค่นี้ไง

แต่ถ้าเป็นสมาธินะเพราะความละเอียดของจิต ความละเอียดของมัน ธรรมชาติของมัน เวลามันฟรีมันปล่อยของมัน แล้วตัวมันเองมันละเอียดเข้าไปๆ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะมีขณิกะ มีอุปจาระ มีอัปปนา เหรอ มันต่างกันทั้งนั้น

ฉะนั้นเขาพูดตรงนี้ไม่ถูก เขามีอยู่คำเดียว ว่าง โล่ง สบาย คำพูดพูดให้เหมือนมันพูดได้ แต่ความจริงไม่มี นี่พูดถึงพื้นฐานเลยนะ แต่เราอธิบายให้หมอฟังนะ เขาบอกว่าจิตดับยังไง เขาถามเลยว่า “จิตดับยังไง” เราบอกว่า “จิตเป็นสันตติ ไม่มีวันดับ”

ถ้ามีวันดับนะ จิตมันต้องมีวาระมันต้องตาย แล้วจิตนี้มันไม่เคยตาย ดูสิพระเวสสันดร ดูพระโพธิสัตว์มันยาวไกลมาขนาดไหน ถ้ามันยาวไกลมันตัดตอนกัน มันจะต่อเนื่องกันมาได้อย่างไร

จิตมันไม่เคยดับ แล้วไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม แล้วนี้มันมาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์มันก็มีธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ พอธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ การพิจารณาของมันไป เขาก็ดูจิตไป แล้วมันหยุด พอมันหยุดแล้วเขาไปทึ่งมันไง พอเขาทึ่งปั๊บ เขาใช้คำว่ามันแฮงค์ มันไม่รู้สึกตัวเลย เราอธิบายเลย

เราอธิบายว่า เนื้อส้มกับเปลือกส้ม ความคิดเป็นเนื้อส้ม พลังงานเป็นเปลือกส้ม ถ้าโดยธรรมชาติของมัน มันจะเข้าถึงตัวเนื้อส้ม แต่พอเข้าไปปั๊บมันเกิดสติขึ้นมา คือเหมือนกับเราไปเจออะไร แล้วเราควบคุมไม่ได้ มันแฮงค์เห็นไหม

ถ้าพอมันแฮงค์ปั๊บ แล้วมันมีสติขึ้นมาแล้วนั่นคืออะไร เราก็บอกนั่นคือตัวสติ มันรู้แต่มันทำอะไรไม่เป็น เราถึงบอกว่าให้ทำเข้าไปอีก เห็นไหม มันเข้าไปเห็นจิตจับจิตรู้จิตเลย

ถ้ามันเป็นปัญญาอบรมสมาธิมันเป็นไปตามความเป็นจริง ไม่ใช่เป็นอย่างที่เขาว่า เป็นอย่างที่เขาว่า ที่ว่ามันจะเป็นสัญญาอารมณ์ โทษนะ เหมือนอภิธรรม ดูนามรูปไปอย่างนั้น แล้วดูนามรูป คนที่ปฏิบัติไป มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันจะละเอียดมาก

อารมณ์มันจะละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ ละเอียดเข้าไปแค่ไหน มันก็จินตมยปัญญา เพราะความมหัศจรรย์ของจิตไง ที่ว่าจิตมันจะว่าง จิตมันจะรู้ มันจะลึกซึ้งมันจะอะไร มันอยู่แค่นั้นแหละ เพียงแต่ว่าอย่างเช่นเรา เรากินข้าว กินอาหารที่รสชาติดีมาก อร่อยมากเลย ติดใจมากเลย พอกินๆ ไป มันก็เบื่อใช่ไหม แล้วก็หยุด พอถึงเวลานานๆ ไป กลับมากินใหม่อร่อยอีกแล้ว

นี่ก็เหมือนกัน เดี๋ยวก็ดีมาก เดี๋ยวก็ดีน้อย ก็อารมณ์ของมึงนั่นแหละ แต่ถ้าเป็นความจริงไม่เป็นอย่างนั้น แม้แต่พื้นฐาน สมถกรรมฐานเพราะเขาปฏิเสธสมถกรรมฐาน เขาถึงไม่เป็นความจริง

เราบอกเลยนะ เมื่อวานพูดกับพระ พระหัวเราะใหญ่เลย กินข้าวเขาเอาข้าวใส่ปากนะ แต่เดี๋ยวนี้การปฏิบัติเขาเอาข้าวใส่หู เอาข้าวยัดเข้ารูหู เขาเอาข้าวยัดเข้ารูหูมันจะเข้ากระเพาะได้ไหม แต่ถ้าเอาข้าวยัดใส่ปากจะลงกระเพาะได้

ถ้าจิตสงบขึ้นมา เห็นไหม ตัวจิต พอถึงตัวจิตนี่ มันมีปาก เพราะตัวจิตคือตัวข้อมูล ตัวภพ ตัวชาติ ตัวอวิชชา มันอยู่ที่นั่น ตัวกิเลสอยู่ที่นั่น ถ้าจิตสงบแล้วเข้าไปที่จิตแล้วปัญญามันเข้าไปที่จิต เห็นไหม มันก็เข้าถึงเนื้อจิต มันก็เหมือนอาหารใส่ปาก พอใส่ปากมันก็จะเข้าท้อง อาหารมันก็แทรกเข้าไปในร่างกาย

ถ้ามึงไม่รู้จักปากตัวเอง เอ็งกินข้าวเอ็งยัดใส่หูเหรอ ยังดีนะที่ยัดใส่หู ไม่ใช่เอาข้าวปาทิ้ง เอาข้าวปาทิ้งเรียกว่ากินข้าว ดูจิตๆ มันดูอาการของจิต เพราะธรรมชาติของมัน เหมือนคนเวลาอยู่ในที่แดดจะมีเงา เวลาจิตตัวธรรมชาติของจิตคือตัวเรา ความคิดคือเงา ความคิดนี่เป็นเงา แล้วมันไปแก้ไขที่เงา มันจะเป็นไปได้ยังไง

เพียงแต่ว่า ที่เขาทำกัน ประสาเราว่า มันไม่มีใครโต้แย้ง ซีดีของเราทำยอดหนังสือเขาฮวบเลย ยอดหนังสือนี่ฮวบเลย แล้วมันไม่มีใครโต้แย้ง เราจะบอกว่าคนโต้แย้งมันไม่มีเหตุมีผลจะโต้แย้งเขาอย่างใด เพราะทุกคนดูจิตแล้วได้ผลหมด

เพราะคนดูจิตแล้วว่างหมด พอใครดูจิตจะว่างหมด จะมีความสุขหมดเลย แต่มันไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะพระพุทธเจ้าแก้กิเลส พอมันได้ผลอย่างนั้นปั๊บ ทุกอย่างทำแล้วมันเห็นผลไง

แล้วเมื่อก่อนเราพูดบ่อยว่า พวกเราใช้ศาสนา คือว่าเราเข้าถึงศาสนาแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ศาสนานี่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ศาสนาเราแค่จิ่มๆ แล้วเราก็ว่าเป็นชาวพุทธประพฤติปฏิบัติกัน แต่ความจริงมันไม่ใช่ เพราะเป็นความเชื่อถือของพวกเราไง

มันคงจะถึงเวลาว่า พวกเราชาวพุทธอ่อนแอ พอมันอ่อนแอ แล้วก็อย่างว่าอย่างเช่นครูบาอาจารย์เรา อย่างเช่นหลวงตา ท่านจะคอยเตือนพวกเรา ว่าอย่าให้มีการบาดหมางกัน เพียงแต่ทำไมหลวงตาจะไม่รู้ อันนี้รู้แล้วเพียงแต่ว่าประสาเรานะ มันแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก มันเป็นการฮือฮาอยู่ชั่วคราว แล้วมันเป็นการตื่น เหมือนกับตื่นทอง

ตื่นทองมันยังมีทองให้ตื่นนะ นี่ตื่นอารมณ์ของตัวเองตื่นว่ามันว่าง ตื่นเป็นครั้งคราวพักหนึ่ง พอตื่นกันครบทุกคนแล้วนะ เหมือนจตุคามเลย ตอนจตุคามออกมาดังๆ ทุกบ้านต้องมีจตุคาม พอทุกบ้านมีครบแล้วจะออกรุ่นไหนต่อไปวะ นี่ดูจิตกัน ถ้าดูจิตกันจนครบทั่วประเทศไทยแล้วนะ ทีนี้คงไปดูเท้าแล้วมั้ง ทีแรกก็ดูจิต ต่อไปก็ดูหัวแม่เท้าดีกว่า เพราะทุกคนทำหมดแล้ว พอทำหมดแล้ว แล้วได้อะไรขึ้นมา

ทีนี้เพียงแต่อย่างที่พูดเมื่อกี้ ว่าคนนั้นได้โสดาบัน สกิทาคา อนาคา เราเรียกว่าเขากล้าพูดนะ มันเป็นการตกกระไดพลอยโจน แล้วในสังคมของเขา เราสังเกตเขาพยายามไปประสานงานกับพระให้พระรับรู้ด้วย พอพระรับรู้ด้วย ถ้ามันเป็นโสดาบัน สกิทาคา อนาคา ก็ยอมรับกันไป

แต่ถ้ายอมรับสิ่งนี้ไป แล้วมันไม่เป็นจริงล่ะ มันไม่เป็นจริงหรอก ในสังคมเราเห็นมาเยอะ ขนาดที่ว่าเราปฏิบัติกัน เอาจริงเอาจังขนาดนี้ ความเป็นจริง มันเป็นจริงตรงไหน เพราะเวลาปฏิบัติไป มันมีตทังคปหาน อย่างเช่น มีการพิจารณากายไป พิจารณาอสุภะต่างๆ ไป แล้วมันปล่อยหมด ว่างหมด อันนั้นยังไม่จริงเลย

แล้วนี่มันไม่ทำอะไรกันเลย มันบอกดูจิตเฉยๆ แล้วมันจะจริงได้ยังไง พอพิจารณาไปแล้วมันปล่อยนะ มันปล่อยแล้วเวลามันปล่อย มันปล่อยมันเป็นตทังคะ คือมันเหมือนกับมันปล่อยชั่วคราว พอมันปล่อยชั่วคราว มันยังมีอีก เดี๋ยวมันก็แสดงตัว พอมันแสดงตัวที่ไหน มันแสดงตัวที่พฤติกรรมของเรา

อย่างเรานี่นะใหม่ๆ ใครๆ เข้ามา เราก็ได้ เราก็สงวนท่าที กิริยามารยาทเราก็ได้ แต่อยู่นานไปๆ มันมีออกมา มันเห็นของมันได้ อันนี้ที่เขาบอกว่าเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคา เป็นอนาคากัน เราก็ไปตื่น แล้วเป็นโสดาบัน สกิทาคา อนาคาของเขา มันก็เป็นอยู่ในหมู่ของเขา แล้วมันอธิบายไม่ได้

เพียงแต่ว่า สิ่งที่เขาสอนๆ กันอยู่ พวกนี้ส่วนใหญ่แล้วเขาเป็นปัญญาชน นี่เวลาอธิบายธรรมะ มันก็เหมือนกับพวกปริยัติ พวกตรรกะนี่อธิบายดีมาก แต่เราฟังออกวะ เราฟังออกนะ เราฟังออกตรงที่มันสรุปไม่เป็น มันสรุปไม่ได้หรอก

อย่างที่เขาเอาเทปมาให้เราฟังนะ เขาบอกพระโสดาบันพิจารณากาย พิจารณากายไปเรื่อย จิตสงบแล้วพิจารณากายนะ พิจารณากายเสร็จแล้วนะพอถึงสรุปปั๊บ มันจะเข้าไปอยู่ในอริยสัจ คือเขาจะยกเข้าไปอยู่ในพระไตรปิฎกเลย

แต่ของหลวงตา พอพิจารณากายไป มันแยกกันดั่ง ๓ ทวีป

คำนี้เป็นคำของหลวงตาเลยจดลิขสิทธิ์ไว้ด้วย เดี๋ยวคนมันจะเอาไปใช้

เวลากายมันแยกนะ กายกับจิต กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แยกกันดั่ง ๓ ทวีป แยกออกจากกันเลย ในพระไตรปิฎกไม่มี

คำนี้ก็เป็นคำของหลวงตา “กายกับจิตนี่แยกออกจากกันเลย ดั่งทวีปนี่แยกออกจากกัน กั้นไว้ด้วยมหาสมุทร”

จิตรวมลง กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ จิตรวมลงแล้วมันเหลืออะไร นี่เดี๋ยวมันเป็นไป

เราพูดอย่างนี้ปั๊บ ใครฟังนี่ฟังเลย แล้วเอาไปพูดซ้ำเลย พอพูดเสร็จ เราถามกลับ “แล้วมันแยกยังไง” ตอบไม่ได้ นี่ไง คำพูดอันเดียวกันไง

คำพูดหลวงตา พอออกเป็นเทปไป ใครก็จำได้ ใครก็พูดได้ แล้วเอามาร้อยเรียงกันให้เป็น Step เลย ๑-๒-๓-๔ เห็นไหม

๑ กายกับจิตแยกออกจากกัน

๒ นั่งตลอดรุ่ง จิตกับสู่สภาพสถานะเดิม

๓ นั่งตลอดรุ่ง เป็นอสุภะ

๔ นั่งตลอดรุ่ง เจอจุดและต่อม

นี่ Step เป็นอย่างนี้เลย ๑-๒-๓-๔ แล้วก็จำเอาไปพูด ถามกลับเลย แล้วทำยังไง ไม่รู้ พอทำยังไงปั๊บนะ คนนี่แปลกนะ เหมือนกับเราขึ้นศาล เวลาเรากำลังแบบว่าเบิกความกับศาลแล้วพอโดนทนายมันซักค้านเข้าไปที่หัวใจนี่ มันออกอาการนะ เราจะเลิ่กลั่กๆ เลย เพราะไม่รู้จะตอบยังไง เขาเรียกตีข้อมูลแตก ตายเลย

นี่ก็เหมือนกัน พอมันบอกว่า “กายแยกเลย”

“แล้วแยกยังไง”

“อ้าว ก็นึกว่าแยกแล้วก็จะยอมรับไง”

พอบอกว่าแยกแล้ว จะให้ตอบว่าแยกอีก ก็มันแยกแล้วก็คือจบไปแล้ว คือเสนอข้อมูลไปหมดแล้ว แล้วถามกลับมาว่ามันแยกยังไง ต้องกลับไปทำการบ้าน

ถ้ากลับไปทำการบ้านเขายังพูดได้นะ แต่ความจริงมันกลับไปทำการบ้านไม่ได้เลิ่กลั่กเลย แต่ถ้าพูดแล้วคนยอมรับ เพราะอะไร เพราะพูดธรรมะเหมือนกัน ธรรมะของหลวงตาที่เป็น ๑-๒-๓-๔ พูดเหมือนกันหมดเลย

แต่ถ้าใครพูดนะ เราให้คะแนน ๐ หมด ศูนย์เพราะอันนี้เป็นวิทยานิพนธ์ของหลวงตา เป็นการทดสอบการทดลองของบุคคลคนนั้น

ถ้าเอ็งเอามาพูด เอ็งก๊อบปี้มา เหมือนเราไปเอางานวิชาการของคนอื่นมาแอบอ้างว่าเป็นงานของเรา เราไม่ได้ทำการวิจัยของเรามา เราไม่รู้จริง ถ้าเราทำวิจัยของเรามาเอง เราทำวิชาการนั้นมา เอ็งถามข้ามา เราทำมาใช่ไหม เราทำมา “มาๆๆ ทำให้ดู มาเลยๆ จะทำให้ดู” นั่นของจริงจะเป็นอย่างนั้น

แต่นี้เราอาศัยจะพูดกันให้คนยอมรับ แล้วคนเดี๋ยวนี้มันเป็นไป มันฟังธรรมะได้ แล้วมันเอาสิ่งนี้มา แล้วว่าดูจิต ดูจิตของหลวงปู่ดูลย์ถูก แล้วหลวงปู่ดูลย์พูดถูก “ดูจิตจนเห็นอาการของจิต” แล้วหลวงปู่ดูลย์พูด ดูจิต แล้วก็ถามนะ “เห็นจิตไหม เห็นกิเลสไหม พิจารณามัน”

คำว่าพิจารณามันไปดูในหนังสือหลวงปู่ดูลย์สิ “พิจารณามันๆ” คนเป็นมันเป็น Step ขึ้นไปไง

ดูจิต ดูจิตก่อนแล้วหาทุนให้ได้ก่อน ทำจิตให้สงบก่อน เห็นอาการไหม เห็นอาการคือเห็นกิเลส จิตเห็นอาการของจิต แล้ววิปัสสนามัน วิปัสสนา อาการคือขันธ์ ๕ จิตตัวจิต พิจารณาจนมันขาด ขันธ์ ๕ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ มันหลบไปไหนล่ะ เป็นโสดาบัน

หลวงปู่ดูลย์พูดถูก คนเป็นนะคนเป็นพูดยังไงก็ถูก จะแกล้งพูดให้ผิดก็ถูก คนไม่เป็นพูดให้ถูกมันก็ผิด พูดถูกคือถูกของครูบาอาจารย์ไง ดังไวยากรณ์พูดถูกหมดเลย พูดเหมือนกันเปี๊ยบเลย ผิด คนทำไม่เป็นผิดยังไงก็ผิด

แล้วยิ่งตอนนี้พอถึงเวลาแล้วประสาเราว่ามันถึงเวลาแล้ว คำว่าถึงเวลานะ อย่างของเรา เราโดนเขาช่อโกง โดนเขาหลอกลวงก็แล้วแต่ เราก็จะใช้หาข้อมูลจนเราทันเหตุผลนั้น เขาก็ไปหาข้อมูลอื่น เขาก็ไปหลอกคนอื่นต่อไป

นี่ก็เหมือนกันถึงที่สุดตอนนี้เรื่องมันจะแดงขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะโสดาบันมันจะเดินชนกันทั่วประเทศไทย อนาคาไม่รู้ จัดที่นั่งให้ไม่ถูกเลย เรียงแถวเลย แล้วดูสิมันจะอนาคาขนาดไหน

แล้วพอถึงเวลาแล้วนะ มันเหมือนแชร์แม่ชม้อยเลย พอจบแชร์แม่ชม้อย สังคมรู้ทัน ก็ไปมีแชร์แม่นกแก้ว พอจบจากแชร์แม่นกแก้ว มันก็จะไปที่แชร์ฟ้าคราม

คือมันก็จะหลอกไปเรื่อยๆ หลอกจากเรื่องนี้จบ มันก็จะหลอกตัวอื่นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่จบแล้วคือจบนะ เพราะสังคมไทยมันอ่อนแอ มันอ่อนแอกันไปเอง เมื่อก่อนที่มันไม่มีความเชื่อถือ ไอ้ดูจิตๆ ดูอย่างไร ดูจิตที่มันเป็นไปได้ เพราะธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้ไง

อภิธรรมเขายังอยู่ได้เลย เขาอยู่กันสบายๆ เลย แล้ว ส่งอารมณ์ๆ คนไม่เคยปฏิบัติอย่างเราปฏิบัติเขาไม่เชื่อ แหม นั่งสมาธิแต่ละวันแต่ละคืนกว่ามันจะเป็นไปได้ แล้วนี่ส่งอารมณ์ทุกวัน เหมือนกับคนภาวนานี่มันจะพัฒนา

ถ้าส่งอารมณ์แล้ว มันก็เหมือนเด็กส่งข้อสอบ ให้คะแนนทุกวันนะ ไอ้พวกนั้นเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ไอ้ที่ส่งอารมณ์ทุกวันๆ ต้องเป็นพระอรหันต์แล้วนะ เพราะมันส่งทุกวันเลย ก็ให้คะแนนทุกวันเลย คะแนนมันเกินร้อยไปแล้ว แต่นี่ส่งอารมณ์ตั้งแต่ตอนที่เริ่มฝึกหัดปฏิบัติจนแก่ตายยังไม่มีใครได้อะไรเลย ส่งอารมณ์อะไรกัน

แต่ของเราครูบาอาจารย์เราปฏิบัติไม่ต้องมาส่ง หลวงปู่มั่นดักหน้าหมดเลย จะเป็นอย่างนี้ๆ ถ้ามาทางนี้จะเข้าทางนี้ ออกถนนนี้ จะเข้าถนนนี้ จากตรงนี้จะเข้าซอยนี้ เข้าซอยนี้จะเข้าบ้านตรงนั้น มันเป็นโดยธรรมชาติ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ

ทำความสงบเข้ามา ถ้าสงบได้นะ เริ่มจับกาย เวทนา จิต ธรรม ได้นะ แล้ววิปัสสนามันไป จะเข้าถึงโสดาบัน ถ้าพอโสดาบันแล้ว ถ้าจิตสงบแล้ว จับกายได้อีก จะเข้าสกิทา ถ้าผ่านสกิทา ถ้าจิตสงบอีก จับกายได้เป็นอสุภะ จะได้เป็นอนาคา

แล้วจับได้ไม่ได้มันรู้ด้วย จับกายได้ขั้นไหน เราปฏิเสธอสุภะอย่างนั้นมาตลอดเห็นไหม ทีแรกบอกว่าเห็นอสุภะ ใช่ เห็นกาย เห็นกายแล้วเห็นกายกลับสู่สภาพเดิม เห็นกายอีกทีหนึ่ง ถึงเป็นอสุภะ เห็นกายนี่กายของจิตละ

เห็นกายมันคนละกายนะมึง เห็นกายมันคนละกายตรงไหน ตรงที่สมาธิ มหาสมาธิ สติ มหาสติ สติเห็นก็เป็นอย่างหนึ่ง มหาสติเห็นก็เป็นอย่างหนึ่ง วุฒิภาวะของเราไง

อย่างเราเซ็นชื่อ เรานี่เป็นไอ้ขี้ครอกเซ็นชื่อก็เซ็นชื่อไง ถ้านายกเซ็นชื่อนะ มันเซ็นชื่อ FTA ประเทศไทยต้องเปิดช่องทางให้เขายกประเทศเลย เซ็นชื่อเหมือนกัน แต่ใครเซ็น ไอ้ขี้ครอกเซ็นก็เผาทิ้ง แต่ถ้านายกเซ็นล่ะ ประเทศชาติต้องยอมรับถึงข้อตกลงอันนั้น

สติ มหาสติ สมาธิ มหาสมาธิ ใครเป็นคนรับผิดชอบ ใครเป็นคนรู้ใครเป็นคนเห็น ดูจิตมันพูดอย่างนี้ไหม ดูจิตก็คือดูจิตไง เพราะมันดูจิตก็คือดูจิต มันไม่รู้อะไร ก็ดูจิตสิ แต่หลวงปู่ดูลย์พูดถูก พูดกับหลวงปู่กิม เห็นไหม

“กิม เห็นอวิชชาไหม เห็นจิตไหม พิจารณามันๆ”

เขาต้องรู้จริงเห็นจริง คนรู้จริงๆ มันทำยากไง มันทำยาก แต่นี้บอกง่าย พอบอกง่ายแล้ว ไอ้แก้วไอ้แสง(เด็ก) มันก็ดูได้ ไอ้แก้วไอ้แสงไปกราบมันนะเป็นพระอรหันต์หมดน่ะ ก็มันดูจิต

แล้วพอมันดูเสร็จแล้ว มันวาดลงบนกระดาษ โอ้โฮ สวยเลย มันจินตนาการของมันเห็นไหม เด็กๆ มันวาดกระดาษของมัน มึงจะเอานิพพานชั้นไหน มันเขียนให้มึงดูเลย

มันมีอะไรเป็นขอบเขต มันมีอะไรเป็นเนื้อหาสาระ มันมีอะไรเป็นความจริง แต่ถ้าเป็นธรรมนะ สันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน

เราจะบอกว่าสังคมไทยมันอ่อนแอ ไอ้ที่ว่าดูจิตมันกำลังระบาด มันระบาดเพราะว่าถ้าดูจิตนะมันเหมือนอภิธรรม อภิธรรมเราไม่ได้ดูถูกตัวอภิธรรมนะ อภิธรรม พระไตรปิฎกไง วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก อภิธรรมปิฎก ถ้าอภิธรรมปิฎกเป็นผลของจิตที่ภาวนาแล้วสิ้นกิเลส วิทยาศาสตร์ทางจิต คือจิตพระอรหันต์เป็นอย่างนั้น

ฉะนั้นเราเอาตรงนี้ ที่ว่าจิตพระอรหันต์ กี่ดวงๆ อธิบายถึงอาการของจิตที่มันเป็นไป โดยวิทยาศาสตร์ เราไปจับตรงนั้นมาตั้ง แล้วเราจะเอาอารมณ์เราเป็นอย่างนั้นแล้วอภิธรรมมันเป็นอารมณ์ มันเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตที่สะอาดบริสุทธิ์

แล้วจิตของพวกเรามันสกปรก เราจะเอาความรู้สึกของเรา ให้ไปเป็นอย่างอารมณ์ในอภิธรรมเป็นไปได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้ พอมันเป็นไปไม่ได้ มันต้องเอาจิตที่สกปรกอย่างพวกเรามากรอง มาทำสมาธิให้มันใส ให้มันสะอาดก่อน ให้มันมีโอกาสได้ปฏิบัติ แล้วพอปฏิบัติถึงสิ้นกระบวนการ

จบสิ้นกระบวนการแล้วมันก็จะเป็นอภิธรรมแบบนั้นแหละ ฉะนั้นถึงบอกตัวอภิธรรมในพระไตรปิฎกเราไม่ได้ค้านตรงนั้น ตรงนั้นมันเป็นผลของพระอรหันต์ มันเป็นผลของพระพุทธเจ้าที่ทำแล้วเป็นอย่างนั้น

แต่เวลาเขามาตั้งอารมณ์พวกเรา นามรูปๆ มันก็นามรูปอยู่นั่นแหละ ทีนี้นามรูปกับดูจิตมันก็อันเดียวกัน

นี้สังคมอย่างนี้ เราจะบอกว่าในการปฏิบัติ วัดทั่วไปไอ้เรื่องดูนามดูรูป เขาก็ทำกันอยู่แล้วไง เพราะเวลาเขาฝึกวิปัสสนาจารย์ ฝึกพระที่สอนอภิธรรม เขาฝึกอยู่แล้ว แล้วก็ฝึกมาเป็นรุ่นๆ ๑๐๐ องค์ ๑๐๐ องค์ เต็มไปหมดเลย

แล้วเขาก็กระจายสอนกันไป คนก็รับฟัง รู้กันไปหมดเลยนะ นู่นเป็นนาม นี่เป็นรูป รู้กันทั่วประเทศไทยพอรู้กันทั่วประเทศไทย มามองดูจิต มันก็อันเดียวกัน สังคมมันแบบแม่น้ำทุกๆ สายไหลไปรวมกันไง

พอไหลไปรวมกันนะ ไอ้ดูจิตมันก็เลยฮือฮาขึ้นมาไง ถ้าเป็นอภิธรรมบอกพวกที่ดูจิตบอกว่า นี่เอ็งปฏิบัติอภิธรรม มันจะยอมรับไหม บอกว่าดูจิตบอกว่าพวกมึงปฏิบัติเหมือนอภิธรรมดูนามรูปเลย เอ็งจะยอมรับไหม เพราะอะไร เพราะเขาทำกันอยู่ใช่ไหม

แต่พอบอกว่าดูจิตมันเท่ห์ไง พอบอกดูจิต เฮ้ย กูเป็นกรรมฐานนะเว้ย กูไม่ใช่อภิธรรมนะเว้ย กูเป็นกรรมฐานนะ กูดูจิต กูเป็นพระป่านะ กูดูจิต แต่มาถึงข้อเท็จจริงของมันหน้าศาลามันคืออะไรล่ะ ก็อภิธรรมนั่นแหละ เขาดูนามรูป เขาดูรูปดูนาม ดูจิตดูอาการ มันก็วนอยู่นั่นแหละ

หลวงปู่เจี๊ยะท่านบอกไง “ดูจิตแก้กิเลสได้หรือไม่ได้”

หลวงปู่จันทร์เรียนบอก “ไม่ได้”

หลวงตาท่านบอก “ท่านก็ดูจิตมาแล้ว เราดูจิต จิตเราเสื่อมไปปีกับหกเดือน เราถึงกลับมามีคำบริกรรม”

ดูจิตนี่นะเหมือนโยมมองเรา ทุกสายตามองมาที่เรา ตัวโยมเองไม่มีอะไรเลย เพราะโยมมองดูที่เรา

แต่ถ้ากำหนดพุทโธเห็นไหม โยมมองมาที่เรา แล้วก็คิดว่า เรากับโยมเหมือนกันไหม ร่างกายเหมือนร่างกายไหม เอามาเปรียบเทียบกันว่า ร่างกายเรากับร่างกายของครูบาอาจารย์เหมือนกันไหม เพราะมันมองมา

พุทโธก็เหมือนกัน พุทโธๆๆ เรากำหนดพุทโธๆ ใช่ไหม จิตนี่มองมาที่เรา ตามองมาที่เรา จิตนึกถึงพุทโธ ก็เหมือนมองมาที่เรา แล้วคิดว่าเรากับอาจารย์ร่างกายเหมือนกันไหม คือมันสะท้อนกับมาที่จิต เพราะมันออกมาจากจิต

ความคิดทั้งหมดมันออกมาจากจิต แต่คิดพิจารณานามรูปอย่างนี้ มันก็มองมาที่เราเลย แล้วตัวเองไม่เกี่ยว มองมาที่เราเลย นามรูปๆ ไปเลย คือมันส่งออก

แต่ถ้าเป็นพุทโธ หรือปัญญาอบรมสมาธิมันส่งออกเหมือนกัน เริ่มต้นส่งออกเหมือนกัน แต่ส่งออกเพื่อจะค้นหาตัวมัน เพราะเรามีสติพุทโธๆๆ เข้ามาเห็นไหม พุทโธจนระยะสั้นเข้ามา จนพุทโธชัดเจนขึ้นมา จนพุทโธไม่ได้

จนพุทโธกับจิตเป็นอันเดียวกัน!! จนพุทโธกับจิตเป็นอันเดียวกัน!! นี่คือตัวสมาธิ

ปัญญาอบรมสมาธิก็เหมือนกัน แต่ถ้าดูเฉยๆ มันดูส่งออก มันดูเพ่ง มันดูกสิณ เพ่งกสิณ แล้วทำไมเพ่งกสิณเป็นสมาธิได้ล่ะ เพ่งกสิณไฟ กสิณลม กสิณต่างๆ เพ่งแล้วมันเห็นภาพ พอเห็นภาพ เช่นกสิณไฟ แล้วขยายกสิณไฟให้มันใหญ่ขึ้น เล็กลง นี่ไงมันไม่ได้ส่งออกไป

จิตมันนิ่งแล้วมันขยายภาพ ขยายส่วนได้ ถ้าเข้าใจเรื่องสมาธิ เข้าใจเรื่องจิตเข้าใจเรื่องต่างๆ นะ เรื่องดูจิตนี่ ไอ้ที่พูดนี่ ก็พูดเพื่อ ในวันนี้พูดอย่างนี้ พูดถึงข้อเท็จจริงของจิตเลยนะว่า ถ้าดูจิตมันส่งออกยังไง

แต่อย่างที่เริ่มต้นมาเห็นไหม บอกถ้าดูจิตจริงๆ ตั้งสติดีๆ ถ้าเรามีความมั่นคง อย่างหลวงปู่ดูลย์ท่านก็ทำได้ แต่เราจะบอกว่าคนต้องมีเชาว์ มีปัญญา ถ้าเรื่องอย่างนี้แล้วนะ มันจะไปลงกับหลวงปู่ชา หลวงปู่ดูลย์ เป็นคนที่มีเชาว์ปัญญา

หลวงปู่ชาไม่ค่อยฟังใคร ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง มันอยู่ที่ทัศนคติ คนหัวแข็งว่าอย่างนั้นเลย คนไม่ลงคน ถ้าคนนี้ไม่ลงใคร จะต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง พวกนี้มันมีความเข้มแข็งในใจ แต่ไอ้พวกที่มาพูดๆ อยู่นี่มันหัวอ่อน ไม่ใช่ไม่ลงเขา เอาหัวซุกให้เขาด้วย

แต่ถ้าคนจริงคนเป็นจริงอย่างหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ชาพวกนี้ หลวงตาก็คนเข้มแข็ง แต่ท่านก็ใช้ปัญญาอบรมสมาธิของท่าน ถ้ามันเข้มแข็งแล้วมันเอาจริงเอาจัง ไอ้นี่ที่มันขัดแย้งกัน มันขัดแย้งที่ว่าดูสบายๆ อย่าเกร็งอย่าอะไรนี่ มันเหมือนทำให้คนที่อ่อนแออยู่แล้ว แล้วก็ทำให้ตัวเองอ่อนแอลงไปอีก

แล้วอ่อนแอคืออะไร อ่อนแอคือว่า หลบไปเลย จิตหายไปเลย วาบ! ไม่มีอะไรเลย แต่ถ้าเป็นคนจริงจังนะ จะบอกว่าถ้าเอาจริงเอาจังแล้วมีวาสนาจริง จะทำตรงนี้เป็นสมาธิได้ไหม เราบอกว่า ได้ แต่มีส่วนน้อยมาก

แต่นี้ที่มันทำ คนเป็นส่วนใหญ่ แล้วส่วนใหญ่บอกมันจะได้ผลจริงตามนั้น ผลจริงตามนั้นศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเป็นศีลเป็นสมาธิจริงๆ ตัวสมาธิ ตัวปัญญามันสุดยอดมาก ถ้ามันทำได้จริงตรงนี้สุดยอด

นี้เอาหลักตรงนี้มาตั้ง แต่เอาจริตนิสัย เอาความเห็นของตัวมาทำ มันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่แบบว่าถอนรากถอนโคนตัวเอง ถอนรากถอนโคนเลยนะ ถอนรากสติปัญญาของเราหมดเลย ว่างๆ เหมือนฤๅษีชีไพร

อ้าว ใครมีอะไรค้านไหม มีอะไรว่ามา มีไหม มีอะไรที่เป็นประเด็น ที่เราพูดแล้วแบบว่า หลวงพ่อนี้พูดข้างเดียวนะ ตีหัวเข้าบ้านไม่ได้ ไม่มีก็จบล่ะ